<< Go Back

     วรรณคดี  โบราณของไทย  มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อการอ่านฟังเสียงและการประกอบการแสดงมหรสพ เช่น บทละคร บทพากย์ เป็นต้น  ดังนั้นกวีจึงต้องเลือกสรรถ้อยคำให้ไพเราะเป็นพิเศษ   
     นอกจากนี้วรรณคดีจะต้องมีเนื้อหาที่สื่อความหมาย ทั้งเพื่อความบันเทิงใจและความจรรโลงใจด้วย
เมื่อกวีกับประพันธ์วรรณคดีสักเรื่องหนึ่ง กวีจะต้องคิด  เนื้อหาขึ้นมา แล้วคิดหากลวิธีการประพันธ์ให้ผลงานนั้นออกมา อย่างเหมาะเจาะ กลวิธีในการประพันธ์ดังกล่าว เรียกว่า   “วรรณศิลป์ 
     วรรณศิลป์ หมายถึง ศิลปะในการประพันธ์ เป็นศิลปะที่ทำให้วรรณคดีมีความหมาย ความงาม และความไพเราะจับใจผู้อ่าน ตัวอย่าง เช่น บทพรรณนาธรรมชาติในร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มหาพนพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
     “ ......แลถนัดในเบื้องหน้าโน่นก็เขาใหญ่ยอดเยี่ยมโพยมอย่างพยับเมฆ มีพรรณขาวดำแดงดูดิเรกดังรายรัตนนพมณีแนมน่าใคร่ชม ครั้นแสงพระสุริยะส่องระดมก็ดูเด่นดังดวงดาววาวแวววะวาบๆ ที่เวิ้งวุ้ง   วิจิตรจำรัสจำรูญรุ่งเป็นสีรุ้งพุ่งพ้นเพียงคัคนัมพรพื้นนภากาศ.....”
     ศิลปะการประพันธ์ในวรรณคดีไทย ที่ควรรู้ในเบื้องต้น ได้แก่  การเล่นเสียง    การเล่นคำ  และ
การใช้ภาพพจน์

     การเล่นเสียง คือ การเลือกสรรคำ ให้มีเสียงสัมผัสเป็นพิเศษกว่าปกติ เพื่อให้เกิดทำนองเสียงที่ไพเราะน่าฟัง  และเพื่ออวดฝีมือของกวี
     การเล่นเสียงแบ่งเป็น ๓ ลักษณะ คือ การเล่นเสียงสัมผัสสระการเล่นสัมผัสพยัญชนะ และการเล่นเสียงวรรณยุกต์
การเล่นเสียงพยัญชนะหรือเสียงอักษร
     คือ การใช้สัมผัสพยัญชนะ หลายพยางค์ติดๆ กัน คำประพันธ์ร้อยกรองโดยทั่วไปไม่บังคับสัมผัสพยัญชนะ แต่กวีนิยมใช้เสียงสัมผัสเพื่อให้เกิดความไพเราะ  เช่น

            จิบจับเจาเจ่าเจ้า รังมา (เล่นตัว “จ”)
  จอกจาบจั่นจรรจา จ่าจ้า (เล่นตัว “จ”)
  เค้าค้อยค่อยคอยหา เห็นโทษ (เล่นตัว “ค”)
  ซอนซ่อนซ้อนสริ้วหน้า นิ่งเร้าเอาขวัญ (เล่นตัว “ซ”)
            นกน้อยนอนแนบน้ำ ในนา  (เล่นตัว “น”)
  ตมเตอะติดเต็มตา ตื่นเต้น  (เล่นตัว “ต”)
  จิบจาบจับเจรจา จะแจ่ม  (เล่นตัว “จ”)
  เรไรร่อนร้องเร้น เรียบร้อยริมวัง  (เล่นตัว “ร”)
            แลลิงลิงลอดไม้ ลางลิง
  แลลูกลิงลงชิง ลูกไม้
  ลิงลมไล่ลมติง ลิงโลด หนีนา
  แลลูกลิงลางไหล้ ลอดเลี้ยวลางลิง
    (เล่นตัว “ล”)
            เมื่อมั่งมีมากมายมิตรหมายมอง เมื่อมัวหมองมิตรมองเหมือนหมูหมา
  เมื่อไม่มีหมดมิตรมุ่งมองมา เมื่อมอดม้วยแม้หมูหมาไม่มามอง
    (เล่นตัว “ม”)

การเล่นเสียงสระ
      คือ การใช้สัมผัสสระหลายพยางค์ติดๆ กัน เป็นสัมผัสสระนอกเหนือจากข้อบังคับของฉันทลักษณ์ โดยการเพิ่มสัมผัสสระในวรรค  เช่น

            ดูหนูสู่รูงู งูสุดสู้หนูสู้งู
  หนูงูสู้ดูอยู่ รูปงูทู่หนูมูทู
            ดูงูขู่ฝูดฝู้ พรูพรู
  หนูสู่รูงูงู   สุดสู้
  งูสู้หนูหนูสู้   งูอยู่
  หนูรู้งูงูรู้ รูปถู้มูทู           (เล่นเสียงสระ อู)

      บางครั้งอาจเล่นเสียงสระหรือสัมผัสในในบางจุด เช่น

            จะหักอื่นขืนหักก็จักได้  หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
  สารพัดตัดขาดประหลาดนัก แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
            แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์   มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
  ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนี่งในน้ำใจคน

 

การเล่นเสียงวรรณยุกต์
      คือ การใช้คำที่ไล่ระดับเสียงวรรณยุกต์ ๒ หรือ ๓ ระดับเป็นชุดๆ ไป   เช่น

            เสียงซออ๋ออ่ออ้อ เอื่อยเพลง
  จับปี่เตร๋งเตร้งเตร๋ง เต่งต้อง
  ขลุ่ยตรุ๋ยตรุ่ยตรุ้ยเหนง เหน่งเน่ง รนาดเฮย
  ฆ้องหน่องหนองน่องหน้อง ผรึ่งพรึ้งพึ่งตโภน
            บัวตูมตุมตุ่มตุ้ม กลางตม
  สูงส่งทนทานลม ล่มล้ม
  แมลงเม้าเม่าเมาฉม ซมซราบ
  รูรู่รู้ริมก้ม พาดไม้ไทรทอง
            เขาขันคูคู่คู้    เคียงสอง
  เยื้องย่างนางยูงทอง ท่องท้อง
  ทิวทุ้งทุ่งทุงมอง มัจฉพราศ
  เทาเท่าเท้ายางหย้อง เลียบลิ้มริมทาง
            จิบจับเจาเจ่าเจ้า รังมา
  จอกจาบจั่นจรรจา จ่าจ้า
  เค้าค้อยค่อยคอยหา เห็นโทษ
  ซอนซ่อนซ้อนสริ้วหน้า นิ่งเร้าเอาขวัญ
            จะจับจองจ่องจ้องสิ่งใดนั้น ดูสำคัญคั่นคั้นอย่างันฉงน
  อย่าลามลวงล่วงล้วงดูเลศกล ค่อยแคะคนค่นค้นให้ควรการ
  อย่าเคลิ้มคำคล่ำคล้ำแต่ลำโลภ เที่ยวหวงห่วงห้วงละโมภละเมอหาญ
  สิ่งใดปองป่องป้องเป็นประธาน อย่าด่วนดานด่านด้านแต่โดยใจ

     การเล่นคำ คือ การนำคำที่มีรูปหรือเสียงพ้องกันหรือใกล้เคียงกันมาเล่นในเชิงเสียงและความหมาย
     การเล่นคำมีหลายวิธี เช่น การเล่นคำพ้อง การเล่นคำ หลายความหมาย เป็นต้น

การเล่นคำพ้อง

            “แก้มช้ำช้ำใครต้อง อันแก้มน้องช้ำเพราะชม
  ปลาทุกทุกข์อกตรม เหมือนทุกข์ที่พี่จากน้อง”

      กวีใช้การเล่นคำสองแห่ง คือ เล่นคำว่า “ช้ำ” และคำว่า “ทุกข์”  โดยกล่าวถึงปลาที่ชื่อแก้มช้ำ มันช้ำเพราะใคร แต่แก้มของนางนั้นช้ำเพราะถูกกวีเชยชม
      การเล่นคำในที่นี้ให้ความรู้สึกว่ากวีและนางมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และเมื่อกวีกล่าวถึงปลาทุก ทำให้รำลึกถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้น คือเสียง ทุก ทำให้นึกถึงความทุกข์ที่ต้องจากนางมา เป็นการเล่นคำโดยอาศัยคำพ้องเสียงที่ทำให้ความรู้สึกว่าการจากนางทำให้กวีเป็นทุกข์

           ปลาสร้อยลอยล่องชล ว่ายเวียนวนปนกันไป
  เหมือนสร้อยทรงทรามวัย ไม่เห็นเจ้าเศร้าบ่วาย

      กวีเล่นคำว่า “สร้อย” เมื่อกล่าวถึงปลาสร้อยคือชื่อของปลาทำให้รำลึก ถึงสร้อยที่นางสวมใส่ เมื่อกวีไม่เห็นนางจึงมีแต่ความเศร้า การเล่นคำ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความรักใคร่ ผูกพันที่กววีมีต่อนาง พบเห็นสิ่งใดก็สะกิดใจให้นึกถึงนางอยู่ร่ำไป

           “เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง”

      รอ คำแรก คือ หลักปักกั้นกระแสน้ำ ส่วน "รอ" ในคำว่า "รอรา" คือหยุด และในคำว่า "รอท่า" หมายถึง คอย

           “เบญจวรรณจับวัลย์มาลี เหมือนวันเจ้าวอนพี่ให้ตามกวาง”

      กวีเล่นคำที่มีเสียง "วัน" ๓ คำ คือ (เบญจ) วรรณ-วัลย์-วัน โดยนำมาใช้ให้มีความหมายสัมพันธ์กันได้อย่างกลมกลืน การเล่นคำพ้องเป็นกลวิธีการประพันธ์ที่กวีนิยมมาก

           ว่าพลางทางชมคณานก โผนผกจับไมอึ้งมี่
  เบญจวรรณจับวัลย์มาลี เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา
  นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตหรา
  จากพรากจับจากจำนรรจา เหมือนพี่จากนางสการะวาตี

      จากบทประพันธ์เป็นการเล่นคำพ้องเสียงคำว่า “วรรณ, วัลย์ และ วัน ” โดย วรรณ หมายถึงนกเบญจวรรณ คำว่า วัลย์หมายถึง เถาวัลย์และคำว่า วัน หมายถึง วัน ที่เป็นช่วงเวลา เป็นการเล่นคำ โดยพ้องเสียง แต่ความหมายต่างกัน นอกจากนี้ ยังปรากฏการเล่นคำพ้อง คำว่า “นวล” และคำว่า “จาก” ซึ่งเป็นการพ้องเสียงและพ้องรูปแต่ความหมายต่างกันด้วย

การเล่นคำซ้ำ     
      คือ การนำคำคำเดียวมาใช้ซ้ำ ๆ ในที่ใกล้ ๆ กันเพื่อย้ำความหมายของข้อความให้หนักแน่นมากยิ่งขึ้น

            รอนรอนสุริยะโอ้ อัสดง
  เรื่อยเรื่อยลับเมรุลง ค่ำแล้ว
  รอนรอนจิตจำนง นุชพี่ เพียงแม่
  เรื่อยเรื่อยเรียมคอยแก้ว คลับคล้ายเรียมเหลียว
     
            ห้ามเพลิงไว้อย่าให้ มีควัน
  ห้ามสุริยะแสงจันทร์     ส่องไซร้
  ห้ามอายุให้หัน คืนเล่า
  ห้ามดั่งนี้ไว้ได้ จึงห้ามนินทา

     “...สุดสายนัยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล  สุดโสตแล้วที่แม่จะรับทราบฟังสำเนียง  สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไลร้อง  สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื้องย่องยกย่างลงเหยียบดิน  ก็สุดสิ้นสุดปัญญา  สุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด..”

การเล่นคำเชิงถาม
     คือ  การเรียงถ้อยคำให้เป็นประโยคเชิงถาม  แต่เจตนาที่แท้จริงไม่ได้ถามเพราะไม่ต้องการคำตอบ  แต่ต้องการเน้นให้ข้อความมีน้ำหนักดึงดูดความสนใจ  และให้ผู้ฟังคิดตาม  บางท่านอาจเรียกว่า “ วาทศิลป์ 

            เปลก็ไกวดาบก็แกว่งแข็งหรือไม่ ใช่อวดเบ่งหญิงไทยมิใช่ชั่ว
  ไหนไถถากตรากตรำไหนทำครัว ใช่ดีแต่จะยั่วผัวเมื่อไร

     เป็นการเล่นคำที่เป็นคำถามเพื่อให้ผู้ฟังสะดุดคิดว่า  ที่จริงนั้นผู้หญิงไทยแข็งแกร่ง  และมีความสามารถมากกว่าการใช้เสน่ห์ผูกมัดใจสามี  อย่างที่มักจะเข้าใจกัน

            โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
            กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
  เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น

     การใช้คำเชิงถามว่า “กระนี้หรือ” เป็นการกระตุ้นให้ผู้ฟังฉุกคิดว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มีหรือที่ชื่อเสียงจะไม่สูญสลายไปตามภาวรวัตถุทั้งหลาย

การเล่นคำหลายความหมาย

            ไม่เมาเหล้าแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
  ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน

     บทประพันธ์นี้เล่นคำ “เมา” ใน ๓ แห่ง คือ เมาเหล้า เมารัก และเมาใจ เมาเหล้า คือดื่มสุรา เมามายไม่ได้สติ  ส่วนคำว่า เมารัก เมาใจ สื่อความหมายว่า ลุ่มหลงในความรัก

การเล่นคำอัพภาส
     คำอัพภาส คือ คำซ้ำประเภทหนึ่งที่กร่อนเสียงพยางค์หน้าเป็นสระอะ เช่น

            สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
  ช่อฟ้าตระการกลจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร

     บทประพันธ์ข้างต้นคำอัพภาส คือคำว่า วะวับ มาจากคา ว่า วับวับ

           ท่อธารละหานห้วย ก็ระรวยระรินวา
  รีหลั่งถะถั่งมา บมขาดผะผาดผัง

     บทประพันธ์ข้างต้นคำอัพภาส คือ คำว่า ระรวย มาจากการกร่อนเสียง รวยรวย คำว่า ถะถั่ง มาจาก ถั่งถั่ง

     การใช้ภาพพจน์ คือการใช้ถ้อยคำ เพื่อสร้างจินตภาพ (ภาพในใจ) แก่ผู้อ่าน โดยการเรียบเรียงถ้อยคำด้วยวิธีการต่าง ๆ ให้พิเศษกว่าปกติ
อุปมา
     อุปมา  คือ การเปรียบสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่ง โดยนำสองสิ่งที่ต่างจำพวกกัน แต่มีลักษณะเด่นเหมือนกันมาเปรียบเทียบกัน โดยใช้คำแสดงความเปรียบว่า “เหมือน  เสมือน คล้าย ดัง ดุจ” ฯลฯ
     เช่น        สวยเหมือนนางฟ้า
                    ซนเหมือนลิง
                    ร้องไห้ปานใจจะขาด
                    เขาตะโกนเสียงดังดั่งฟ้าร้อง
                    เงียบราวกับป่าช้า
                    ดีใจเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ
                    เธอว่ายน้ำเก่งเหมือนปลา
                    ดวงหน้านวลกระจ่างดุจดวงจันทร์
                    ผมของเธอดำเหมือนความมืดแห่งราตรี
                    เหม็นเหมือนซากศพ

            คุณแม่หนาหนักเพี้ยง พสุธา
  คุณบิดรดุจอา กาศกว้าง
  คุณพี่พ่างศิขรา เมรุมาศ
  คุณพระอาจารย์อ้าง อาจสู้สาคร

     พระคุณเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม เรามองไม่เห็นและชั่วตวงวัดไม่ได้ กวีจึงใช้วิธีเปรียบกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่เราเคยเห็นมาก่อน เช่น แผ่นดิน ท้องฟ้า ภูเขา และท้องน้ำ ซึ่งมีลักษณะใหญ่โตและมีปริมาณมาก เพื่อสื่อความหมายว่า พระคุณของบุคคลทั้ง ๔ จำพวกนั้นยิ่งใหญ่มาก

            สูงระหงทรงเพรียวเรียวลูด งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า
  พิศแต่หัวจรดเท้าขาวแต่ตา สองแก้มกัลยาดังลูกยอ
  คิ้วก่งดังก่งเขาดีดฝ้าย จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ
  หูกลวงดวงพักตร์หักงอ ลำคอโตตันสั้นกลม
  สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียว โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม
  เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม มันน่าเชยน่าชมนางเทวี

อุปลักษณ์ 
     อุปลักษณ์ คือ การเปรียบเทียบสองสิ่งที่ต่างกัน แต่มีคุณสมบัติบางประการร่วมกัน โดยเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเป็น สิ่งหนึ่งโดยตรง หรือเปรียบโดยใช้คำว่า  “คือ”  “เป็น”  เช่น

            “ความรู้คู่เปรียบด้วย กำลัง กายแฮ                   (อุปมา)
  สุจริตคือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง                    (อุปลักษณ์)
  ปัญญาประดุจดัง อาวุธ                             (อุปมา)
  สติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม”      (อุปมา)

          “ ขอเป็นเกือกทองรองบาทา       ไปจนกว่าชีวันจะบรรลัย ”
          “ ทหารเป็นรั้วของชาติ ”
          “ เธอคือดอกฟ้าแต่ฉันนั้นคือหมาวัด ”
          “ ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ”
          “ ชีวิตคือการต่อสู้   ศัตรูคือยากำลัง ”

บุคคลวัตหรือบุคลาธิษฐาน
      บุคคลวัต  คือ  การกล่าวถึงสิ่งที่มิใช่มนุษย์ราวกับเป็นมนุษย์ โดยการใช้คำที่แสดงกิริยาอาการ การกระทำ ความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์  เช่น
          “ โทสะอาจจะโดดโลดข้ารั้ว     ไม่เกรงกลัวบัญญัติเลย ”
          “ สัตภัณฑ์บรรพตทั้งหลาย        อ่อนเอียงเพียงปลาย ”
          “ ประนอมประนมชมชัย ”    ( ภูเขาสัตภัณฑ์น้อมไหว้)
          “ กระต่ายตัวหนึ่งยิ้มเยาะเต่าว่า เท้าสั้น เดินก็ช้า ”

            “ นาฬิกาละเมอร่ำไห้ หฤโหด
  เช้าตรู่จองเวรโกรธ ค่ำไว้
  เฆี่ยนฆ่าค่าเฉาโฉด สาปแช่ง
  เวรนั่นใครทำไซร้ ทุกข์โพล้เพล้มหันต์”

          “มองซิ..มองทะเล    บางครั้งมันบ้าบิ่น    ทะเลไม่เคยหลับใหล    บางครั้งยังสะอื้น    
เห็นลมคลื่นเห่จูบหิน    กระแทกหินดังครืนครืน     ใครตอบได้ไหมไฉนจึงตื่น     ทะเลมันตื่นอยู่ร่ำไป”

สัทพจน์
      สัทพจน์  คือ การใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น โครมๆ เปรี้ยงๆ แปร๊นๆ โฮกๆ  ฯลฯ เช่น

  “ ถ้วยชามกลิ้งฉิ่งฉ่างเสียงกร่างโกรง นาวาโคลงโคลนเลอะตลอดแคม ”
  “ บ้างก่งคอคูคูกุกกูไป ฝูงเขาไฟฟุบแฝงที่แฝกฟาง ”
     
            “ครื้นครื้นใช้ฟ้าร้อง เรียมครวญ
  หึ่งหึ่งใช่ลมหวน พี่ให้
  ฝนตกใช่ฝนนวล พี่ทอด ใจนา
  ร้อนใช่ร้อนไฟไหม้   พี่ร้อนกลกาม”
     
            “ ณ ยามสายัณห์ตะวันยิ่งย้อย แน่ะเร่งเท้าหน่อยทยอยเหยียบหนา
  ตะแล้กแต้กแต้กจะแหลกแล้วจ้า กระด้งรีบมาเถอะรับข้าวไป ”

อติพจน์
      อติพจน์ หรือ อธิพจน์  คือ  โวหารที่กล่าวเกินความจริง เพื่อเน้นความรู้สึก ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ภาพพจน์ชนิดนี้นิยมใช้กันมากแม้ในภาษาพูด  เพราะเป็นการกล่าวที่ทำให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้อย่างชัดเจน  เช่น   คิดถึงใจจะขาด   คอแห้งเป็นผง  ร้อนตับจะแตก   หนาวกระดูกจะหลุด  การบินไทยรักคุณเท่าฟ้า

            “ เรียมร่ำน้ำเนตรถ้วม ถึงพรหม
  พาเทพเจ้าจ่อมจม ชีพม้วย
  พระสุเมรุเปื่อยเป็นตม ทบท่าว ลงนา
  หากอกนิฏฐ์พรหมฉ้วย พี่ไว้จึงคง ”

<< Go Back