<< Go Back

รังสีอัลตราไวโอเลต
รังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี (UV) นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตวิตามินดีแล้ว ยังนำมาใช้รักษาโรคหลายชนิด เช่น ด่างขาว สะเก็ดเงิน โรคกระดูกอ่อนในเด็ก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากได้รับรังสียูวีติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่ป้องกัน อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายส่วนต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง ดวงตา ระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น รังสีอัลตราไวโอเลตคือพลังงานรูปแบบหนึ่งซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เดินทางผ่านตัวกลางในรูปของคลื่น โดยมีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 40-400 นาโนเมตร มีแหล่งกำเนิดหลักมาจากแสงอาทิตย์ หรืออาจเกิดจากอุปกรณ์ที่ปล่อยรังสียูวีออกมา เช่น หลอดแบล็คไลท์ (Black Lights) เครื่องทำผิวแทน (Tanning Booth) รวมถึงหลอดไฟชนิดต่าง ๆ รังสียูวีแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก ๆ ตามความยาวคลื่นที่ต่างกัน คือ รังสียูวีเอ (UVA) รังสียูวีบี (UVB) และรังสียูวีซี (UVC)
- รังสียูวีเอ (UVA) มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 320-400 นาโนเมตร และไม่ถูกดูดซับจากชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก คนเราจึงได้รับรังสีชนิดนี้มากกว่าชนิดอื่น ๆ
- รังสียูวีบี (UVB) มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 290-320 นาโนเมตร ชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกดูดซับรังสีชนิดนี้ไม่ได้ทั้งหมด ทำให้มีบางส่วนตกลงมายังพื้นโลก
- รังสียูวีซี (UVC) มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 220-290 นาโนเมตร ชั้นบรรยากาศโลกสามารถดูดซับรังสียูวีซีจากธรรมชาติไว้ได้ทั้งหมด รังสีชนิดนี้จึงไม่ตกลงมายังพื้นโลก
ประโยชน์ของรังสีอัลตราไวโอเลต
รังสีอัลตราไวโอเลตอาจเป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนต่างหลีกเลี่ยง แต่รู้หรือไม่ว่าหากได้รับในปริมาณที่พอเหมาะ จะให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากกว่าโทษ นอกจากนั้นทางการแพทย์ยังนำรังสีชนิดนี้มาใช้รักษาโรคกระดูกและโรคผิวหนังบางชนิด โดยประโยชน์ของรังสีอัลตราไวโอเลต มีดังนี้
กระตุ้นการสร้างวิตามินดี รังสียูวีบีมีคุณสมบัติกระตุ้นให้ร่างกายสร้างวิตามินดี ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือด กระดูก และภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากอาหารที่บริโภค การออกมารับแสงแดดในช่วงเวลาที่เหมาะสมจึงเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นบริเวณที่มีค่าชี้วัดความเข้มของแสงยูวีค่อนข้างสูง จึงควรหลีกเลี่ยงแดดในช่วง 9.00-14.00 น. เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย
รักษาโรคกระดูกและโรคผิวหนังบางชนิด การรรักษาโรคด้วยรังสียูวีควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น 00โรคที่แพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วยวิธีนี้ ได้แก่
- โรคด่างขาว เกิดจากเซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผิวถูกทำลายหรือหยุดสร้างเม็ดสีผิว ส่งผลให้ผิวหนังเกิดเป็นรอยด่างสีขาว ซึ่งรักษาได้ด้วย PUVA คือการใช้ยาซอลาเรน ที่มีคุณสมบัติทำให้ผิวหนังไวต่อรังสียูวี จากนั้นจึงฉายรังสียูวีเอไปที่ผิวหนังผู้ป่วยเพื่อให้กลับมามีสีเข้มขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังชนิดสะความัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinoma: SCC) แต่พบได้น้อยในคนไทยเนื่องจากส่วนใหญ่มีผิวคล้ำ
- โรคสะเก็ดเงิน โรคที่คาดว่าเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดพลาดและไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวผิดปกติอย่างรวดเร็ว ร่วมกับมีการอักเสบ ผู้ป่วยจะมีผื่นหนาสีแดงหรือสีเงินขึ้นตามร่างกาย วิธีรักษาหนึ่งที่นำมาใช้ได้คือการฉายรังสียูวีเอร่วมกับการใช้ยาซอลาเรน เช่นเดียวกับโรคด่างขาว
- Lupus Vulgaris คืออาการหนึ่งของการติดเชื้อวัณโรคที่ผิวหนังซึ่งพบได้ไม่บ่อยนักในคนไทย ส่งผลให้ผิวหนังมีลักษณะเป็นผื่นนูนขนาดใหญ่ มักขึ้นตามใบหน้าและลำคอ รักษาได้ด้วยการฉายรังสียูวีบี แต่ในปัจจุบันมักรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเป็นหลัก
- โรคกระดูกอ่อนในเด็ก มักพบในเด็กที่มีอายุ 6 เดือน-3 ปี สาเหตุหลักเกิดจากการขาดวิตามินดี แคลเซียม และฟอสเฟต ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง เจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ และมีลักษณะผิดรูป แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยออกไปรับแสงแดดมากขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างวิตามินดี รวมถึงรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดี เช่น ปลา ไข่ นม ตับ เป็นต้น
ผลกระทบของรังสีอัลตราไวโอเลตต่อร่างกาย
หากได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตในปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ดังนี้
ผลกระทบต่อผิวหนัง ตั้งแต่ปัญหากวนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ผิวคล้ำแดด ริ้วรอย ไปจนถึงอาการแพ้แดด ผิวไหม้จากแดด และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งผิวหนังได้
ผลกระทบต่อดวงตา ร่างกายสร้างอวัยวะและกลไกต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อปกป้องดวงตา ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ขนตา หรือการหดและขยายรูม่านตา อย่างไรก็ตาม กลไกเหล่านี้ป้องกันดวงตาจากรังสียูวีได้อย่างจำกัด ผู้ที่ต้องเผชิญกับรังสียูวีปริมาณสูงอย่างต่อเนื่องอาจเกิดผลกระทบต่อดวงตา
ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน รังสียูวีอาจอันตรายต่อ DNA และส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเป็นปัจจัยก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามมา นอกจากนี้ การได้รับรังสียูวีในปริมาณสูงยังส่งผลให้วัคซีนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังมีงานวิจัยอ้างว่ารังสียูวีบีส่งผลให้ร่างกายควบคุมไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเริมได้น้อยลง ทำให้ผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคเริมมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
การป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต
การป้องกันด้วยวิธีง่าย ๆ อย่างถูกต้องเพียงไม่กี่วิธีอาจช่วยลดความเสี่ยงจากการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตได้ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วง 9.00-14.00 น. เนื่องจากมีความเข้มของรังสียูวีมากและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากจำเป็นต้องออกไปกลางแจ้งในช่วงเวลาดังกล่าว ควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง ทั้งนี้ การอยู่ในที่ร่ม เช่น ภายในอาคาร หอพัก ห้างสรรพสินค้า โดยเฉพาะบริเวณใกล้หน้าต่างหรือพื้นที่ที่แสงแดดส่องถึง ไม่อาจช่วยป้องกันจากรังสียูวีได้เสมอไป จึงควรใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ทาครีมกันแดด สวมเสื้อแขนยาว เป็นต้น
- สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวผ้าทอที่รัดรูปและมีสีเข้ม เพราะมีประสิทธิภาพในการปกป้องร่างกายจากรังสียูวีมากกว่าเสื้อ และกางเกงที่โปร่งบางและมีสีอ่อน ปัจจุบันเสื้อผ้าบางยี่ห้อหันมาใช้สารเคลือบวัสดุสิ่งทอที่มีคุณสมบัติดูดซับรังสียูวี ซึ่งจะระบุคุณสมบัติในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตโดยใช้เลขตั้งแต่ 15 จนถึง 50+ ยิ่งตัวเลขมากเท่าไรก็ยิ่งแสดงถึงระดับการปกป้องที่มากตามไปด้วย
- ครีมกันแดด คือผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากรังสียูวี โดยมีหลายรูปแบบให้เลือกทั้งชนิดครีม เจล แท่ง สเปรย์ ควรเลือกครีมกันแดด ที่มีค่าป้องกันรังสียูวีบี (Sun Protection Factor: SPF) ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ทาในปริมาณที่เพียงพอและทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ ครีมกันแดดอาจหลุดลอกและมีประสิทธิภาพลดลงได้หากผิวหนังสัมผัสน้ำ ดังนั้น การเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติกันน้ำอาจช่วยคงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีไว้ได้

 


https://www.pobpad.com/รังสีอัลตราไวโอเลต-ประโ

    << Go Back