<< Go Back

 รากมีหน้าที่หลักที่สำคัญ คือ

          1.  ดูด ( absorption ) น้ำและแร่ธาตุที่ละลายน้ำจากดินเข้าไปในลำต้น

          2.  ลำเลียง ( conduction ) น้ำและแร่ธาตุรวมทั้งอาหารซึ่งพืชสะสมไว้ในรากขึ้นสู่ส่วนต่างๆของลำต้น

          3.  ยึด ( anchorage ) ลำต้นให้ติดกับพื้นดิน

          4.  แหล่งสร้างฮอร์โมน ( producing hormones ) รากเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตฮอร์โมนพืชหลาย

ชนิด เช่น ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน ซึ่งจะถูกลำเลียงไปใช้เพื่อการเจริญพัฒนาของส่วนลำต้น ส่วนยอด และส่วนอื่นๆของพืช นอกจาก

นี้ยีงมีรากของพืชอีกหลายชนิดที่ทำหน้าที่พิเศษอื่นๆ เช่น สะสมอาหาร  สังเคราะห์แสง  ค้ำจุน  ยึดเกาะ  หายใจ  เป็นต้น

         ชนิดของราก

          เมื่อจำแนกตามกำเนิด  จะจำแนกออกได้เป็น  3  ชนิด คือ

          1.  primary  root  เป็นรากที่มีกำเนิดและเจริญเติบโตมาจาก radicle รากชนิดนี้ตอนโคนจะโตแล้วค่อยๆเรียวเล็กลง

เรื่อยๆจนถึงปลายซึ่งก็คือ รากแก้ว ( tap root )นั่นเอง

          2.  secondary  root เป็นรากที่มีกำเนิดและเจริญเติบโตออกมาจาก primary root อีกทีหนึ่ง  เป็นรากที่เรียกกัน

ทั่วๆไปว่า รากแขนง ( lateral root ) และแขนงต่างๆที่แยกออกไปเป็นทอดๆนั้นต่างมีกำเนิดมาจากเนื้อเยื่อ pericycle

.ในรากเดิมทั้งสิ้น

          3.  adventitious root รากพิเศษ หรือ รากวิสามัญ เป็นรากที่ไม่ได้มีกำเนิดมาจาก radicle และก็ไม่เป็นแขนงของ

primary root  จำแนกเป็นชนิดย่อยๆลงไปอีกตามรูปร่างและหน้าที่ของมัน  คือ

          3.1 รากฝอย ( fibrous root ) เป็นรากเส้นเล็กๆมากมายขนาดสม่ำเสมอตลอดความยาวของราก งอกออกจากรอบๆ

โคนต้นแทนรากแก้วที่ฝ่อไป  พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่  เช่น  รากข้าว  ข้าวโพด  หญ้า  หมาก  มะพร้าว  ตาล  กระชาย

และพบในพืชใบเลี้งคู่บางชนิด เช่น  รากต้อยติ่ง  มันเทศ  มันแกว

          3.2  รากค้ำจุน ( prop root ) เป็นรากที่แตกออกจากข้อของลำต้นที่อยู่ใต้ดินและเหนือดินเล็กน้อย แล้วพุ่งทะแยง

ลงไปในดินเพื่อช่วยพยุงและค้ำจุนลำต้น ได้แก่ รากเตย  ลำเจียก  ข้าวโพด  ยางอินเดีย  โกงกาง  และไทรย้อย  เป็นต้น

          3.3  รากสังเคราะห์แสง ( photosynthetic root ) เป็นรากที่แตกออกจากข้อของลำต้นหรือกิ่งแล้วห้อย

ลงมาในอากาศ มีสีเขียวของคลอโรฟิลล์จึงสังเคราะห์แสงได้ ได้แก่  รากกล้วยไม้  ไทร  โกงกาง ซึ่งจะมีสีเขียวเฉพาะตรงที่ห้อยอยู่ใน

อากาศเท่านั้น  รากกล้วยไม้นอกจากจะมีสีเขียวและช่วยในการสังเคราะห์แสงแล้ว  พบว่ามีเยื่อพิเศษลักษณะนุ่มคล้ายฟองน้ำ เป็นเซลล์

พวกพาเรงคิมาเรียงตัวกันอย่างหลวมๆ โดยมีช่องว่างระหว่างเซลล์มากเรียก นวม ( velamen ) หุ้มอยู่ตามขอบนอกของราก

ช่วยดูดน้ำ  รักษาความชื้นให้แก่ราก ตลอดทั้งช่วยในการหายใจด้วย

          3.4  รากหายใจ ( respiratory root  or  aerating root ) เป็นรากที่ชูปลายรากขึ้นมาเหนือพื้นดิน

บางทีก็ลอยตามผิวน้ำ เพื่อช่วยในการหายใจได้มากเป็นพิเศษกว่ารากปกติทั่วๆไป  ทั้งนี้เพราะโครงสร้างของรากประกอบด้วยเซลล์

พาเรงคิมาซึ่งเรียงตัวอย่างหลวมๆ มีช่องว่างระหว่างเซลล์มาก  ทำให้อากาศผ่านเข้าสู่เซลล์ชั้นในของรากได้ง่าย  รากเหล่านี้อาจ

เรียกว่า รากทุ่นลอย ( pneumatophore )  ได้แก่  ลำพู  แสม  โกงกาง  แพงพวยน้ำ  และผักกระเฉด เป็นต้น

          3.5  รากเกาะ ( climbing root ) เป็นรากที่แตกออกมาจากส่วนข้อของลำต้น แล้วเกาะติดกับสิ่งยึดเกาะ เช่น

เสาหรือหลักเพื่อพยุงลำต้นให้ติดแน่นและชูส่วนของลำต้นให้สูงขึ้นไป และให้ส่วนต่างๆของพืชได้รับแสงมากขึ้น ได้แก่  พลู

พลูด่าง  พริกไทย  และกล้วยไม้ เป็นต้น

          3.6  รากกาฝาก ( parasitic  root ) เป็นรากของพืชที่ไปเกาะต้นพืชชนิดอื่น แล้วมีรากเล็กๆแตกออกมาเป็น

กระจุกแทงลงไปในลำต้นจนถึงท่อลำเลียงเพื่อแย่งอาหาร ได้แก่  รากฝอยทอง  กาฝาก  เป็นต้น

         3.7  รากสะสมอาหาร ( storage root ) ทำหน้าที่สะสมอาหารพวกแป้ง ไขมัน และโปรตีน เช่น  รากกระชาย

มันเทศ มันแกว มันสำปะหลัง เป็นต้น

         3.8  รากหนาม ( root thorn ) เป็นรากที่มีลักษณะเป็นหนามงอกมาจากบริเวณโคนต้น  ตอนงอกใหม่ๆเป็นรากปกติ

แต่ต่อมาเกิดเปลือกแข็งทำให้มีลักษณะคล้ายหนามแข็ง ช่วยป้องกันโคนต้นได้ เช่น ปาล์ม

http://www.rmutphysics.com/CHARUD/virtualexperiment/virtual2/solar-cell/index.html

<< Go Back