<< Go Back

สมมติฐาน (Hypothesis) หมายถึง ความเชื่อของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือ ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรืออาจกล่าวได้ว่า สมมติฐานเป็นสิ่งที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลคาดว่าจะเกิดขึ้นโดยที่ความเชื่อหรือสิ่งที่คาดนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ก็ได้
การคาดคะเน หรือทำนายคำตอบอย่างไรให้มีเหตุผล โดยอาศัย
- แนวคิดหลักการ
- ประสบการณ์
- ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างการตั้งสมมติฐาน
- แม่ค้าขายลูกชิ้นปลาระเบิด เปิดใหม่ มียอดขายต่อเดือนโดยเฉลี่ย เดือนละ 5,000 บาท แม่ค้าคาดว่าถ้าทำแบบนี้ไปอีกหนึ่งปีจะมีเงินเก็บ 60,000 บาท
- เจ้าของร้านค้าปลีกคาดว่าจะมีกำไรสุทธิจากการขายสินค้าต่อปีไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท
- หัวหน้าพรรคการเมือง A …..คาดว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในคราวหน้า พรรคอื่นๆจะได้ที่นั่งในสภาต่ำกว่า 50% ของทั้งหมด
- คาดว่ารายได้เฉลี่ยต่อเดือนของประชากรในจังหวัดพิษณุโลกเท่ากับ 15,000 บาท
ความแตกต่างของสมมติฐานกับการพยากรณ์
การตั้งสมมติฐาน คือ การทำนายผลล่วงหน้าโดยไม่ทราบ ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างข้อมูล
การพยากรณ์ คือ การทำนายผลล่วงหน้าโดยการทราบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการทำนายล่วงหน้า

1) สมมติฐานต้องเป็นข้อความที่บอกความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม
2) ในสถานการณ์หนึ่ง ๆ อาจตั้งหนึ่งสมมติฐานหรือหลายสมมติฐานก็ได้ สมมติฐานที่ตั้งขึ้นอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ดังนั้นจำเป็นต้องมีการทดลองเพื่อตรวจสอบว่า สมมติฐานที่ตั้งขึ้นนั้นเป็นที่ยอมรับหรือไม่ ซึ่งจะทราบภายหลังจากการทดลองหาคำตอบแล้ว
ตัวอย่างการตั้งสมมติฐาน
คำถาม : อะไรมีผลต่อความเร็วรถ (ความเร็วรถขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง) สมมติว่า นักเรียนเลือกขนาดของยางรถยนต์ เป็นตัวแปรที่ต้องการทดสอบ ก็อาจตั้งสมมติฐานได้ว่า

การตั้งสมมติฐาน : เมื่อขนาดของยางรถยนต์ใหญ่ขึ้น ความเร็วของรถยนต์จะลดลง (ตัวแปรต้น : ขนาดของยางรถยนต์) (ตัวแปรตาม : ความเร็วของรถยนต์)

1) เป็นสมมติฐานที่เข้าใจง่าย มักนิยมใช้วลี “ถ้า…ดังนั้น”
2) เป็นสมมติฐานที่แนะลู่ทางที่จะตรวจสอบได้
3) เป็นสมมติฐานที่ตรวจได้โดยการทดลอง
4) เป็นสมมติฐานที่สอดคล้องและอยู่ในขอบเขตข้อเท็จจริงที่ได้จากการสังเกตและสัมพันธ์กับปัญหาที่ตั้งไว้ สมมติฐานที่เคยยอมรับอาจล้มเลิกได้ถ้ามีข้อมูลจากการทดลองใหม่ๆ มาลบล้าง แต่ก็มีบางสมมติฐานที่ไม่มีข้อมูลจากการทดลองมาคัดค้าน ทำให้สมมติฐานเหล่านั้นเป็นที่ยอมรับว่าถูกต้อง เช่น สมมติฐานของเมนเดลเกี่ยวกับหน่วยกรรมพันธุ์ ซึ่งเปลี่ยนกฎการแยกตัวของยีน หรือสมมติฐานของอโวกาโดรซึ่งเปลี่ยนเป็นกฎของอโวกาโดร
5) ใช้ภาษาที่ง่ายๆ มีความหมายชัดเจน

สมมติฐานมี 2 ประเภท คือ สมมติฐานทางการวิจัย( Research hypothesis) และสมมติฐานทางสถิติ ( Statistical hypothesis)
5.1 สมมุติฐานทางการวิจัย (Research Hypothesis) เป็นสมมติฐานที่เขียนอยู่ในรูปของข้อความ ที่ใช้ภาษาเป็นสื่อในการอธิบายความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ศึกษา เทคนิคการเขียนอยู่ 2 แบบ
5.1.1 สมมติฐานแบบมีทิศทาง (Directional hypothesis) เป็นสมมติฐานที่เขียนโดยสามารถระบุได้แน่นอน ถึงทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวแปรว่าสัมพันธ์ในทางใด (บวกหรือลบ) ก็สามารถระบุได้ถึงทิศทางของความแตกต่าง เช่น “ดีกว่า” หรือ “สูงกว่า” หรือ “ต่ำกว่า” หรือ “น้อยกว่า” ในสมมติฐานนั้นๆ หรือระบุทิศทางของความสัมพันธ์ โดยมีคำว่า “ทางบวก” หรือ “ทางลบ” ในสมมติฐานนั้นๆ เช่น
- ครูประจำการมีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์มากกว่าครูฝึกสอน
- นักเรียนในกรุงเทพฯจะมีทัศนะคติทางวิทยาศาสตร์ดีกว่านักเรียนในชนบท
- ครูอาจารย์เพศชายมีความวิตกกังวลในการทำงานน้อยกว่าครูอาจารย์เพศหญิง
- ผู้สูบบุหรี่เป็นโรคมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
- ค่าแรงในการทำงานมีผลทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น
- นักเรียนในกรุงเทพฯ จะมีทัศนะคติทางวิทยาศาสตร์ดีกว่านักเรียนในชนบท
- ผู้บริหารเพศชายมีประสิทธิภาพในการบริหารงานมากกว่าผู้บริหารเพศหญิง

5.1.2 สมมติฐานแบบไม่มีทิศทาง (Nondirectional hypothesis) เป็นสมมติฐานที่เขียนโดยไม่ได้ระบุทิศทางของความสัมพันธ์ของตัวแปร หรือทิศทางของความแตกต่างเพียงระบุว่าตัวแปร 2 ตัวนั้นมีความสัมพันธ์หรือถ้าเป็นการเปรียบเทียบก็ ระบุเพียงว่าสองกลุ่มนั้นมีคุณลักษณะแตกต่างกันเท่านั้น เช่น “มีอิทธิพลต่อ” “ส่งผลต่อ” “มีความสัมพันธ์กับ” “แปรผันกับ”
- สภาพแวดล้อมทางกายภาพ มีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลในการทำงาน
- ความต้องการใช้เครื่องไฟฟ้าของบุคคลในชุมชนชนบทและชุมชนเมืองแตกต่างกัน
- ในอดีต และปัจจุบันผู้ชายมีความสนใจในเพศเดียวกันแตกต่างกัน
- ผู้สูบบุหรี่มีความสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งปอด
- ค่าแรงในการทำงานมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
- ค่าแรงในการทำงานมีอิทธิพลกับประสิทธิภาพในการทำงาน
- นักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูด้วยวิธีการที่แตกต่างกันจะมีวินัยในตนเองต่างกัน

1. ทำหน้าที่เหมือนทิศทาง และแนวทางในการวิจัย
2. สมมติฐานต้องตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยได้อย่างครบถ้วน
3. สามารถทดสอบและวัดได้ด้วยข้อมูลและวิธีการทางสถิติ

https://sites.google.com/site/teacherreybanis1/ngan-xdirek-laea-khwam-samarth-phises/bth-thi-3-kar-tang-smmtithan

<< Go Back